อาคารโรงงานต้องจัดให้มีอุปกรณ์ตรวจจับและ
แจ้งเหตุเพลิงไหม้ครอบคลุมทั่วทั้งอาคารตาม
ความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่
ที่ไม่มีคนงานปฏิบัติงานประจำและมีการติดตั้ง
หรือใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้า หรือจัดเก็บวัตถุไวไฟ
หรือวัสดุติดไฟได้ง่ายจะต้องติดตั้งอุปกรณ์ตรวจ
จับและแจ้งเหตุเพลิงไหม้อัตโนมัติ อุปกรณ์แจ้งเหตุ
เพลิงไหม้ต้องเป็นชนิดที่ให้สัญญาณโดยไม่ต้องใช้
ไฟฟ้าจากระบบแสงสว่างและที่ใช้กับเครื่องจักร
หรือมีระบบไฟสำรองที่จ่ายไฟสำหรับระบบแจ้ง
เหตุเพลิงไหม้ได้ไม่น้อยกว่า ๒ ชั่วโมง
ต้องมีการติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับเพลิงไหม้อัตโนมัติ
และอุปกรณ์แจ้งเหตุเพลิงไหม้ด้วยมือให้ครอบคลุมทั่วทั้ง
อาคาร โดยการเลือกอุปกรณ์ต่างๆ ต้องมีความเหมาะสมกับ
ประเภทเชื้อเพลิงและสภาพการใช้งานในพื้นที่นั้นๆ
สาเหตุในการเกิดเพลิงไหม้ที่พบมากในประเทศไทย คือการชำรุดของอุปกรณ์ไฟฟ้าและ
การลัดวงจรของอุปกรณ์ไฟฟ้า ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับเพลิงไหม้
อัตโนมัติและอุปกรณ์แจ้งเหตุเพลิงไหม้ด้วยมือในพื้นที่ดังต่อไปนี้
๑) พื้นที่ที่ไม่มีคนปฏิบัติงานเป็นประจำและในพื้นที่นั้นมีการใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้า
๒) พื้นที่ที่มีการจัดเก็บวัตถุไวไฟ
๓) พื้นที่ที่มีการจัดเก็บวัสดุติดไฟได้ง่าย
แหล่งจ่ายกำลังไฟฟ้าสำหรับระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ ประกอบด้วยแหล่งจ่าย
ไฟฟ้าหลัก และแหล่งจ่ายไฟฟ้าสำรอง โดยแหล่งจ่ายไฟฟ้าสำรองจะทำงานทันทีเมื่อแหล่งจ่าย
ไฟฟ้าหลักขัดข้อง และแหล่งจ่ายไฟฟ้าสำรองต้องสามารถจ่ายไฟฟ้าให้กับระบบสัญญาณแจ้ง
เหตุเพลิงไหม้ได้นานไม่น้อยกว่า ๒ ชั่วโมง รวมทั้งห้ามทำการเชื่อมต่อแหล่งจ่ายไฟฟ้าของระบบ
สัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้จากระบบไฟฟ้าส่องสว่าง หรือระบบไฟฟ้าของเครื่องจักร
การติดตั้งระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล
ที่เป็นที่ยอมรับ
การติดตั้งอุปกรณ์ทั้งหมดในระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน
สากลที่เป็นที่ยอมรับ ตัวอย่างมาตรฐานสากล ได้แก่ National Fire Protection Association
(NFPA) ซึ่งมีสำนักงานอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และมีการนำไปใช้เป็นกฎหมายหรือมาตรฐาน
ในหลายๆ ประเทศ โดยมาตรฐาน NFPA ที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบและติดตั้งระบบสัญญาณ
แจ้งเหตุเพลิงไหม้ คือ NFPA 72 - National Fire Alarm Code
อ้างอิง: คู่มือการปฎิบัติงานตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม
เรื่อง การป้องกันและระงับอัคคีภัยในโรงงาน พ.ศ. ๒๕๕๒